จากโปรยชื่อเรื่อง ไม่มีอะไรมากครับ แค่อยากจะเล่าถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดกับตัวผม ประสบการณ์ในการเล่นหุ้นนะครับ ผมเริ่มสนใจหุ้นมาตั้งแต่ช่วงประมาณปี 36 ครับ ช่วงบูมของเศรษฐกิจไทยครับ ช่วงนั้นเรียนอยู่มหาวิทยาลัยครับ ศึกษาหาความรู้มาปีสองปี เข้าห้องสมุด หนังสือ ทั้งภาษาไทย ฝรั่ง แปลออกบ้าง ไม่ออกบ้าง ช่วงนั้นหุ้นบูมมากครับ ไอดอลของผมตอนนั้น คือ คุณกรณ์ จาติกวนิช ตอนนั้นคุณกรณ์เป็น CEO บล. เจ.เอฟ. ธนาคม ครับ ติดตามการให้ข่าว การวิเคราะห์ ผมเป็นแฟนคลับคุณกรณ์ มาตลอดครับ ช่วงนั้นคนทั่วๆ ไป คงยังไม่ค่อยมีใคร รู้จักคุณกรณ์ กันเท่าไร เรียกว่า เท่ห์ มากเลยครับ อยากเป็นแบบนั้นบ้าง ผมก็ศึกษาหุ้น แบบปัจจัยพื้นฐาน ต้องไปห้องสมุดของตลาดหลักทรัพย์ ไป ถ่ายเอกสารเอางบการเงิน มาแกะงบ ว่า บริษัทไหนดี ไม่ดียังไง ไม่มีอินเตอร์เนตแบบสมัยนี้ครับ
ต่อมาได้โอกาส ทางบ้านให้เงินมาก้อนหนึ่ง เห็นมันบ้าแต่หุ้น เลยให้ไปซะ ตอนนั้นยังเรียนปี สาม เองครับ มีเส้นใน บล. ก็เลยเปิดบัญชีได้ แต่ไปเปิดบัญชีเช็คไม่ได้ BBL ไม่ให้เปิด แต่ TFB ( ตัวย่อสมัยนั้น ) ให้เปิด ตอนนั้นเด็กมากครับ ก็เริ่มเล่นมาเรื่อยๆ เล่นแต่หุ้นพื้นฐาน ไม่มีการเคาะ นานๆ เคาะที เริ่มอึดอัดครับ ไม่มันส์วะ เอาหุ้นมันส์ ๆ ดีกว่า FCI RR ใครพอจำได้บ้างครับ สุดๆ เลย เล่นไปเล่นมา เจ็บตัว พอร์ทเล็กลงไป 50% ครับ พอหลังจากนั้น ผมเข้ามาทำงานธนาคารครับ ต้นปี 39 ครับ กระชูดครับ เงินเดือน ไม่ถึงเก้าพัน ครับ แต่ตีกอล์ฟกับรุ่นพี่ทุกอาทิตย์ เที่ยวทุกคืน คิดดูละกันครับ เพื่อนรุ่นเดียวกันไม่มีตังค์ ไป ไม่เป็นไรไปกับกู กูเลี้ยงเอง สุดๆ ครับ ช่วงนั้น แต่ที่จำได้ขึ้นใจเลยครับ วันอะไรจำไม่ได้ ผมมีหุ้น Fin one เอกธนกิจครับ เต็มพอร์ท ดูแล้วเห็นท่าไม่ดี โทรหา MKT พี่ขายก่อน ออก 70% ของพอร์ท เลยไม่ไหวกลัว เคาะเลยนะครับ ทุกราคา เชื่อไหมครับ ช่วงบ่าย ประกาศปิด 56 finance ลมแทบจับ เกือบหมดตัวแล้วกู ดีขายทัน หลังจากนั้น ผมก็เลียแผลอยู่ซักพักครับ พอฝุ่นเริ่มจาง เห็นอะไรมากขึ้น เข้าไปใหม่ครับ หุ้นปั่นล้วนๆ ครับ มันส์ดี ยังไม่เข็ด ได้บ้างเสียบ้าง
ต่อมาหลังวิกฤตเศรษฐกิจ ผมอยู่ฝ่ายสินเชื่อรายใหญ่ของธนาคารไทยธนาคาร ที่มาจากการยุบรวมกันของ ไฟแนนซ์ทั้งหลายละครับ คราวนี้ต้องมาตามหนี้แทนละเพราะชาวงนั้นไม่มีการปล่อยสินเชื่อใหม่ ก็มีลูกค้ารายใหญ่หลายๆ รายครับ ลูกหนี้ที่ผมดูแล อยู่รายหนึ่ง เอาเป็นว่าไม่บอกละกันว่าใคร แต่เป็น บริษัท สื่อสิ่งพิมพ์ละกัน เอาแค่นี้ พอดีวันนั้น ผมต้องไปเจรจาเพื่อคุยเรื่องปรับโครงสร้างหนี้ ไปกับลูกพี่ครับ ไปถึงท่านก็เชิญเข้ามาที่ห้องทำงาน ท่านก็เทรดหุ้น สั่งงานใหญ่เลย บอกพวกผม รอแปบนะ หาเงินจ่ายเงินเดือนลูกน้องก่อน สรุปมันเล่นหุ้นตัวเอง ทั้งทีอยู่ในช่วง silent period โอ้ผมรู้เลยตลาดหุ้นมันไม่น่าเล่นอีกแล้ว เรามันแค่แมงเม่า สู้เขาไม่ได้ อันนั้นเรื่องหนึ่ง
ต่อมาหลังจากผมลาออกจากธนาคาร ผมไปเป็น Financial Advisor ดูดีไหมครับ ไปเป็นลูกจ้างเขา ได้เป็นตัวแทนลูกหนี้ เพื่อเจรจาหนี้กับ สถาบันการเงิน ช่วงนั้นเจรจากับ BCA ค่อนข้างเยอะ ลูกค้าของบริษัทเจ้านายผม ก็ใหญ่ ๆโตๆ กันทั้งนั้น ได้มีโอกาส ใกล้ชิดกับ บรรดาเซียนๆ ทั้งหลาย เริ่มรับรู้จากเซียนทั้งหลายว่า ตลาดหุ้นมันไม่เหมาะกับแมงเม่าจริงๆ เขาหลอกเขาปั่น พอลากหุ้นขึ้น ก็หาข่าวดีมาใส่ พอขายเสร็จ จะรับหุ้นคืน ก็ทุบ และปล่อยข่าวร้าย เราสู้เขาไม่ได้หลอกครับ คนทำไม่ใช่ใครที่ไหน เจ้าของหุ้นนั่นละครับ ตัวดี ผมเลยเลิกเล่นหุ้นเลย
ช่วงหลังๆ เห็นน้องรุ่นหลัง ไปตามร้านกาแฟ ก็นั่งเทรดหุ้น จาก IPAD เออ มึงเก่ง แหมโชว์ออฟน่าดู ไอ้ควายเอ้ย เดี๋ยวก็รู้นรกมีจริง คุยกันเสียงดัง ดูกราฟ RSI เส้นค่าเฉลี่ย elliott wave แล้วมันไม่คิดเหรอว่า รายใหญ่เค้าไม่ดูกราฟ ไอ้พวกฝรั่ง มันไม่ดูกราฟ เด็กเมื่อวานซืนเอ้ย ........................อย่าไปด่าเค้า เราก็เคยเป็น ลืมตัวไปครับ ปรากฏว่า ไม่กี่วัน มีจดหมายสรุปพอร์ท จาก บล.แห่งหนึ่งส่งมาที่บ้าน คุณมีหุ้น จำนวน 0 หุ้น เฮ้ยมันยังไม่ลืมเราเหรอเนี่ย จุดประกายความคิดมาอีกละ ต้องเอาคืน ด้วยการเปลี่ยนวิธีการใหม่ คนใหม่ นิ่งขึ้น มองภาพกว้าง หลักจิตวิทยามวลชน แม่นขึ้น และรู้ทันรายใหญ่มากขึ้น เพราะบาดแผลเก่าๆ มันยังเจ็บอยู่ มาครั้งนี้ต้องเอาคืนให้ได้ แล้วเจอกัน ตลาดหุ้นที่รัก
ผมเล็งไว้แล้วครับ หนึ่งตัว หุ้นใหญ่ อิเลคโทรนิค ลองดูครับ คราวนี้จะโดนอีกไหม???????