จากหัวข้อเรื่อง เพื่อนๆ บางคนอาจจะงง เก็บเงินโดยการซื้อประกัน กับ เก็บเงินแบบกู้ซื้อบ้าน มันเอามาเปรียบเทียบกันได้ยังไง คือ อีกอันคือเก็บเงินออม อีกอันคือเป็นหนี้ มาๆ ครับ ผมจะอธิบายให้ฟังครับ
เริ่มเลยครับ การเก็บเงินออม แบบซื้อประกัน ไม่ว่าจะเป็น การประกันแบบออมทรัพย์ ประกันสุขภาพ หรือ ประกันชีวิต อะไรก็ตาม ผมขอจะไม่ลงไปในรายละเอียดนะครับ แต่หลักการคือ คุณต้องลงเงินออมเป็นรายเดือน รายปี เท่าไรก็ได้ ตามที่เขากำหนด พอครบกำหนด สมมติแบบมีประกันชีวิตพ่วงด้วย ถ้าคุณไม่ตายซะก่อน ก่อนครบกำหนด คุณก็จะได้เงินหรือผลตอบแทน ตามที่บริษัทประกัน เขากำหนดไว้ตั้งแต่แรก อันนี้ พอเข้าใจกันใช่ไหมครับ สรุปก่อนนะครับ ประเด็น คือ คุณต้องเก็บออมรายเดือน หากจ่ายเป็นรายปี คุณก็ต้องเก็บออมเหมือนกัน คือรวบรวมเป็นเดือนเพื่อสะสมเป็นปี โอเค อันนี้เข้าใจตรงกันแล้วนะครับ คือเราต้องเก็บออมเงินรายเดือน อะๆๆๆ ต่อมา
แล้วการกู้เงินซื้อบ้านละ สมมตินะครับ ผมไม่ขอลงไปในรายละเอียดวิธีการกู้นะครับ อันนั้น หาอ่านเอาใน blog ของผมได้ครับ สรุปคือ ธนาคารเขาจะอนุมัติเงินกู้ซื้อบ้านของคุณ ตามรายได้ และความสามารถผ่อนชำระหนี้ ใช่ไหมครับ สมมติคุณกู้มาได้ละ เอาเป็นบ้านราคา 1,500,000 บาท ละกัน คุณต้องผ่อนเดือนละ 10,000 บาท เงินเดือนคุณตามมาตรฐาน ก็ต้องไม่น้อยกว่า 25,000 บาท สมมติ คุณเงินเดือน 3x,xxx กว่า ละกัน ผ่อนรถคัน มีบัตรเครดิตสักสองใบ ตายละ ต้องผ่อนบ้านอีกเดือนละ 10,000 บาท ตายแน่ แค่ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผ่อนบัตรเครดิต ฉันก็ไม่เหลือเงินเก็บแล้ว อ้อลืมบอกไป ตอนนี้ส่วนใหญ่ ในการกู้ซื้อบ้าน ธนาคารเขาจะบังคับให้คุณทำประกันชีวิต หากในช่วงระยะเวลาที่คุณผ่อนบ้านอยู่เกิดเสียชีวิต บริษัทประกัน เขาชำระหนี้ทั้งหมดให้คุณเลย ลูกหลานก็สบายไม่ต้องมาผ่อนบ้านแทน
ทีนี้ลองมาเปรียบเทียบกันดูครับ ว่า การเก็บเงินซื้อประกัน กับการกู้เงินแล้วผ่อนบ้าน แบบไหนจะดีกว่ากัน เริ่มเลย สมมติหลักการของประกัน คือ คุณต้องจ่ายค่าเบี้ยทุกเดือน เดือนละเท่าไรก็ว่ากันไป เงื่อนไขคือ คุณ จ่ายไปครบตามกำหนดเขา สมมติระหว่างจ่ายคุณไม่เสียชีวิต เอาเป็นตัวเลขดีกว่า สมมติคุณจ่ายเบี้ยเดือนละ 10,000 บาท ไปอีก 6 ปี พอจ่ายครบ และรอไปอีกจนครบ 15 ปี คุณจะได้เงินคืนประมาณ 8xx,xxx บาท อ่า อันนี้พอเข้าใจนะครับ หลักการที่ผมอยากให้คุณได้คิดตามคือ หลักการที่จ่ายเป็นเบี้ยหัวแตก แต่ได้เงินก้อนจำนวนหนึ่งที่รู้แน่นอนว่าได้เท่าไร เน้นนะครับ รู้แน่นอนว่าได้เท่าไร ในตอนจบ อันนี้มีภาพประกอบ จากตารางการจ่ายเบี้ยประกันออมทรัพย์ ครับ
|
จ่ายเบี้ย 6 ปี จำนวน 612,000 ได้เงินคืน ปีที่ 15 จำนวน 771,000 ลองคำนวณดูครับ |
แต่การกู้ซื้อบ้าน ผมยึดตัวเลขเดียวกันครับ สมมติคุณซื้อบ้านมาหนึ่งหลัง เป็นทาวน์เฮาส์ละกัน ราคา 1.5 ล้านบาท ผ่อนเดือนละ 10,000 บาท แบงก์บังคับประกันชีวิตคุ้มครองเงินกู้ด้วย หากตาย บริษัทก็ใช้หนี้แทน อันนี้ประเด็นปลีกย่อยผ่านไปก่อน คุณก็ผ่อนไปเรื่อยๆ ผ่อนไปบ่นไป เงินเก็บก็แทบจะไม่เหลือ ผ่อนบ้าน ค่าเทอมลูก ค่าบัตรเครดิต เอ้า ผ่อนไปครับ ไม่ต้องบ่น ผ่านมา สัก 5 ปี เออ หน้าที่การงานดีขึ้น เงินเดือนเยอะขึ้น แต่ๆๆๆ ค่างวดบ้านเรายังเท่าเดิมนี่หว่า สบายขึ้นนะ เอ้า ผ่อนต่อ ผ่อนงวดละ 10,000 บาท ผ่านมาอีกสักสิบปี เงินเดือนเยอะขึ้น เริ่มมีเงินเก็บบ้างแล้ว แต่ไม่เยอะ เอาเงินมาปรับปรุงบ้านสักหน่อย สองสามแสน ก็ขอกู้มาต่อเติมบ้าน ผ่อนไปผ่อนมา เฮ้ย จะสิบห้าปีแล้วเหรอ หนี้ที่เรากู้มา 1.5 ล้านบาท ตอนนี้ หนี้เงินต้นมันเหลือไม่ถึง 500,000 แล้วเว้ย จะเป็นอิสระจากหนี้แล้วเว้ย อารมณ์ดี ขับรถออกจากบ้านไปกินข้าว บังเอิญเห็นป้ายขายบ้าน บ้านแถวนั้น เขาประกาศขาย ลองโทรไปถามซิ เขาขายเท่าไร พอได้ฟังเท่านั้นละ แทบเป็นลม เขาตั้งราคาขายไว้ 3.2 ล้านบาท แถบป้าที่ประกษสขายบ้านแกบอกว่า บ้านข้างๆขายไปเมื่อปีที่แล้ว ที่ราคา สามล้าน แม่เจ้า แล้วเมื่อเราผ่อนบ้านหมด บ้านเราจะราคาเท่าไรเนี่ย !!!!!!!!
ครับ อ่านมาถึงตรงนี้ พอจะสรุปง่ายๆ ให้เข้าใจนะครับ คือ
- ซื้อประกัน คุณจะรู้แน่นอน ว่าบั้นปลาย จะได้เงินเท่าไร จากเงินที่คุณเก็บออมมา ในกรมธรรม์นั้น
- การกู้เงินซื้อบ้าน คุณก็ผ่อนไปเรื่อยๆ เหมือนจ่ายเบี้ยแหละ แต่คุณไม่รู้ว่า ราคาบ้าน มันจะไปไกลแค่ไหน แบบนี้ พอจะคิดอะไรออกกันบ้างแล้วไหมละครับ ว่า การกู้เงินซื้อบ้าน มันดียังไง บ้านก็มีอยู่ เงินงวดที่ผ่อน ก็เงินนี้ละคือเงินเก็บของคุณ
มาถึงตรงนี้ เพื่อนๆ ก็คงรู้แล้วซินะครับ ว่า การกู้เงินซื้อบ้าน ขอสินเชื่อบ้าน แล้วเราต้องเป็นหนี้แบงก์ มันไม่ได้น่ากลัวอะไรเลยครับ มาๆ มาเป็นหนี้บ้านกันเถอะครับ
และหากท่านที่ประสบปัญหา กับการกู้เงินซื้อบ้าน ขอสินเชื่อบ้านไม่ผ่าน ธนาคาร ไม่อนุมัติ ลองไลน์มาคุยกันครับ ตอบได้ จะตอบให้ทุกข้อความนะครับ LineID: @antonio